ที่เห็นนี่คือ ตรวจคนเข้าเมืองค่ะ เราต้องเข้าคิวเพื่อยื่นพาสปอร์ตกับตำรวจค่ะ เพราะว่าเรามาจากสายการบินนอกยุโรป
ป้า ลีเขียนขึ้นให้ดูเป็นบรรยากาศนะคะ จะได้ตกใจน้อยลง เพราะบางทีเราเลือกราคาตั๋วไม่ได้ ทำให้เราต้องไปเปลี่ยนเครื่องเพื่อประหยัดเงิน ซึ่งจริงๆแล้วเป็นเรื่องที่ควรทำนะคะ เพราะว่าจะได้เหลือเงินไปทำอย่างอื่น และจะได้มีประสบการณ์ในการเดินทางมากขึ้น
การเปลี่ยนเครื่องแนะนำ อย่างน้อย 2 ชั่วโมงนะคะ เผื่อเครื่องล่าช้าจากต้นทาง
แต่การเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน สต็อคโฮมนี้ เป็นสนามบินไม่ใหญ่มาก (ค่อนข้างเล็กมาก)
ซึ่ง ป้าลีกลับจากทริปฟลอริด้าเมื่อวานนี้ เลยเก็บภาพมาฝากค่ะ เพราะเปลี่ยนเครื่องขากลับจากสนามบิน ไมอะมี่ ไปเฮลซิงกิ แต่เปลี่ยนเครื่องที่สนามบินนี้ 80 นาทีค่ะ (หนึ่งชั่วโมงกับยี่สิบนาที) โดยสายการบิน นอร์เวย์เจี้ยนค่ะ ไม่ค่อยกลัวตกเครื่องเพราะว่ารู้ว่า สนามบินนี้เล็กมาก วิ่งทันต่อให้เครื่องล่าช้าก็เถอะ (แต่เครื่องก็ไม่เลทค่ะ)
อันแรกจากภาพแรกจะเห็นว่าเราต้องผ่านการ ตรวจคนเข้าเมืองก่อน ตำรวจก็จะไม่ถามค่ะ ถ้าเรามีเรสซิเด้น เปอมิท แต่ถ้ามาด้วยวีซ่าท่องเที่ยวครั้งแรก เค้าก็จะถามว่า จะไปใหน ไปทำอะไร คือถามประมาณ สองสามคำถามค่ะ ก็ตอบไปตามจริง
เสร็จแล้ว เดินเข้าเครื่องสแกนกระเป๋าสะพายค่ะ ต้องไม่มีน้ำดื่ม หรือ ของเหลว(ตามแบบฉบับ มีใครไม่ทราบมั๊ยคะว่า เค้าห้ามอะไรบ้าง .... ประมาณว่า ถ้ามีของเหลวให้เอาใส่ถุงพลาสติกที่มีซิปรูดน่ะค่ะ หาได้ในสนามบินก่อนเดินทางออกจากต้นทาง และของที่จะใส่ในถุงซิปได้ต้องไม่เกิน 100 ml ใส่ได้หลายชิ้นจนกว่าจะเต็มถุงค่ะและต้องใส่ได้หนึ่งถุงปิดได้มิดพอดีค่ะ ส่วนของกินไม่ห้ามค่ะ (ถ้าไม่ไปอเมริกา) เช่นจะเป็นผลไม้ ขนมบางอย่าง ให้ใส่ถุงไปกินบนเครื่องได้ค่ะ ใส่ในกระเป๋าสะพายที่เราถือติดตัวไม่เกิน 10 กก.ค่ะ)
ผ่านสแกนของแล้ว มองหาป้ายนะคะ ตามนี้
จาก ภาพจะเห็นว่า เที่ยวบินที่เราจะไปต่อนั้น เที่ยวบินที่เท่าไหร่ เวลาเท่าไหร่ สายการบินอะไร (เวลาจะไล่จากก่อนไปหลังค่ะ ให้ดูที่เวลาก่อน ว่าตรงกับ บอร์ดดิ้งการ์ดของเราที่ได้จากการเช็คอินจากต้นทาง เช่น กรุงเทพฯ ถ้าเราเปลี่ยนเครื่อง 1 ครั้ง เค้าจะให้บอร์ดดิ้งการ์ดมาสองอัน เพื่อใช้ขึ้นเครื่อง 2 ครั้งค่ะ ก็คืออันที่สองจะใช้ในสนามบิน สต็อคโฮมค่ะ)
สมมุติว่า ได้ Gate 12 ก็คือ ประตูเข้าอันดับที่ 12 เราก็จะเดินหาตามป้ายเลยค่ะ
ช่อง ทางนี้ จะเป็นทางที่เราเดินเลาะไปอีกฝั่งของอาคารค่ะ มองเห็นกันได้จากหน้าต่างกระจกนั่นแหละ ระหว่างมีเครื่องบินการบินไทยจอดอยู่ กับอีกฝากไม่มี ก็เดินเลาะไปตามทางนี้ ประมาณ ห้านาทีค่ะ ไม่ไกล
พอ เจอประตูที่ 12 แล้วให้เงยหน้าอ่านหน้าจอ ด้านในของเกท นิดนะคะ ว่าหน้าจอเขียนว่าไปเฮลซิงกิหรือเปล่า (หรือไปที่อื่นตามบอร์ดดิ้งการ์ดของคุณ)
บรรยากาศ หน้าเกทก็จะประมาณนี้ค่ะ ให้ชาร์จมือถือได้ แต่ต้องเตรียมอเด็บเตอร์มาเสียบนะคะ เพราะว่าเครื่องชาร์จจากไทยบางรุ่นเท่านั้นที่ใช้เข้ากันได้กับทางยุโรป(คือ ขาเสียบจะกลมๆน่ะค่ะ ถ้าเป็นขาเสียบแบนๆจะเสียบไม่ได้ หาถามพนักงานได้ค่ะซื้อจากตลาดนัดก็ได้ ประมาณ ยี่สิบบาท แต่ถ้าจะเอาปลอดภัย ตามร้านไฟฟ้าทั่วไป แพงหน่อยแต่ใช้ได้นาน และปลอดภัย)
หน้าจอจะเขียนบอก ว่าประตูนี้สำหรับผู้โดยสารไป เฮลซิงกิ เวลาเท่าไหร่ ก็คือตรวจสอบดูว่าถูกต้องหรือไม่
สนาม บินมี ไวไฟให้ใช้ค่ะ โทรหาเพื่อน ผุ้ปกครอง หรือแฟน ได้ตลอดเวลา ว่าเดินทางถูกต้องหรือไม่ประการใด ถ้าฟังชาวบ้านไม่เข้าใจ ให้ยกหูคุยกับคนทางบ้านโลด ว่าเราเข้าถูกที่หรือไม่ (แต่ถูกแน่นอนค่ะ ไม่ยากมากมาย)
พอเข้าเครื่องแล้ว ก็จะลงที่ สนามบินเฮลซิงกิ ปัญหาคือ ลงแล้วไปใหนต่อ
ให้ มองหาว่า จะต้องไปเอากระเป๋าเดินทางตัวเองที่โหลด ณ ตอนเช็คอินน่ะค่ะ พนักงานจะบอกว่า กระเป๋าพี่ไปรับที่เฮลซิงกินะคะ (แต่ตัวเราไปเดินเล่นที่ สต็อคโฮม เพราะเปลี่ยนเครื่อง)
สมมุติว่าได้กระเป๋า ตามช่องเดียวกับป้าลี คือ 2A เราก็จะมองหา ทางออกที่เขียนว่า EXIT 2A
เทคนิค เดิม คือ สนามบินมีไวไฟ หาไม่เจอหรือหลงทาง เพราะเดินตามคนข้างหน้าไม่ทัน เพราะนางเดินเร็ว แต่เราตัวเล็กโดนเบียดโดนบังทำให้ตามตูดเค้าไม่ทัน เลยหลง โทรหาคนมารับค่ะ ง่ายสุด (แต่ถ้าตามทันเพื่อนร่วมชะตากรรมในเครื่องก็ให้เกาะติดเค้าได้นะคะ เกาะติดคนที่เป็นกลุ่มค่ะ ไม่ใช่ไปตามคนๆเดียว ซึ่งนางอาจจะหลงเหมือนเราก็ได้)
พอมองเห็นมั๊ยคะ ว่า เที่ยวบินของเราเวลาถึงเฮลซิงกิ เท่าไหร่ เที่ยวบินอะไร และ หมายเลขเท่าไหร่ เค้าจะบอกว่าไปรับที่ EXIT 2A
เรา ก็เดินตามป้ายทันที (ตรงนี้จะไม่มี ตรวจคนเข้าเมืองถ้าเราเปลี่ยนเครื่อง เพราะว่า เราได้ผ่าน ตม. ตั้งกะ สนามบินสต็อคโฮมแล้ว แต่ถ้าเราบินตรง เราจะต้องถูกบังคับเข้า ตม. ของ สนามบินเฮลซิงกิค่ะ เพราะเราบินจากนอกโซนยุโรป)
พอได้กระเป๋าเดินทางจากสายพานเรียบร้อยแล้ว เราก็ลากออกมาตามหลังคนอื่นที่เค้าเดินไป ทางออก ที่เขียนว่า EXIT ก็จะเจอคนมารับค่ะ
จบการเดินทาง